วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ดนตรีสร้างลูกฉลาดจริงหรือ


ผู้ปกครองมักจะมีคำถามเสมอว่า “เด็กเริ่มเรียนดนตรีเมื่อไหร่?” บางท่านพาลูกไปสมัครเรียน เมื่อถามเจ้าหน้าที่มักจะได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน ครูบางคนจะบอกว่ายังเล็กไปไว้ 7 ขวบค่อยมา พอลูก 7 ขวบ พอไปอีกครูอีกคนอาจจะบอกว่า น่าจะมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้พ่อแม่สับสน จริงๆ แล้ว เด็กเรียนดนตรีได้ตั้งแต่ยังเล็กๆ ยิ่งเล็กยิ่งดี แต่ไม่ได้หมายความว่า 1 ขวบมานั่งเล่นเปียโน เพราะกล้ามเนื้อยังไม่มีแรง แต่จะเรียนรู้ดนตรีได้ในวิธีที่ต่างกันขึ้นอยู่กับพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กในแต่ละวัย
พลังดนตรีพัฒนาความฉลาด
เชื่อไหมว่าเมื่อแรกเกิดลูกฟังดนตรีรู้เรื่องแล้ว จากการวิจัยพบว่าทารกในครรภ์ช่วงอายุ 7-8 เดือน สามารถรับรู้เสียงดนตรีและได้ยินเสียงที่คุณแม่พูดหรือร้องเพลง ดนตรีช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองมากกว่า 10 ส่วนทั่วไปหมด ทั้งสมองส่วนบน ส่วนล่าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ให้สมองกระตุ้นจินตนาการและความคิดอย่างมีเหตุผล การคิดคำนวณ วิทยาศาสตร์และภาษา โดยเฉพาะดนตรีที่มีจังหวะช้าๆ ฟังสบายๆ มีจังหวะท่วงทำนองและความกลมกลืนของเสียงที่เหมาะสมจะทำให้สมองของลูกพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะลูกน้อยที่อยู่ในวัยแรกเกิดถึง 3 ขวบ เกิดการเรียนรู้ ช่วยพัฒนาทั้งทางด้านอารมณ์ สติปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้มีความสามารถที่จะจดจำสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่สอนได้ดียิ่งขึ้น
พลังของดนตรีคลาสสิก
ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กส่วนใหญ่จะแนะนำให้พ่อแม่เปิดเพลงช้าๆ มีช่วงทำนองสม่ำเสมอ เช่น เพลงคลาสสิกให้ลูกฟัง เพราะดนตรีคลาสสิกมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองของเด็กให้เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี จังหวะทำนอง และความกลมกลืนของเสียงดนตรีที่ถูกเรียบเรียงไว้อย่างเป็นลำดับขั้น จะช่วยจัดลำดับความคิดในสมองเด็กและช่วยให้เกิดการผ่อนคลายขณะรับฟังดนตรี การรับฟังดนตรีคลาสสิกเบาๆ ในจังหวะช้าๆ จะทำให้เด็กเกิดอารมณ์สุนทรีย์ ซึ่งความรู้สึกผ่อนคลายที่ได้รับจะช่วยให้เด็กเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี และยังช่วยเสริมสร้างสมาธิจากการที่เด็กสงบนิ่งชั่วขณะหนึ่ง จังหวะและท่วงทำนองที่คลาสสิกของดนตรี จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์แบบมีเหตุมีผลในด้านคณิตศาสตร์ วิศวกรรมและการอ่านเขียน
จังหวะเสียงสูงต่ำและความถี่ของเสียงดนตรีคลาสสิก ยังมีส่วนในการพัฒนาความสามารถด้านการเรียนภาษาได้ดีขึ้นได้ และบทประพันธ์ของดนตรีคลาสสิกบางชิ้นส่งผลด้านการพัฒนาสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ โดยเพิ่มขีดความสามารถด้านการใช้คำพูด อารมณ์และพัฒนาสมาธิและความจำ ในขณะที่เด็กเรียนรู้ทักษะบางอย่างขณะที่ฟังดนตรีคลาสสิกไปด้วย จะสามารถจดจำสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ได้ดี เข้าใจเหตุผลของความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
ผลการวิจัยล่าสุดพบว่า ความสบายใจที่ได้ฟังดนตรีในวัยเด็ก โดยเฉพาะดนตรีที่มีจังหวะช้าๆ อย่างดนตรีคลาสสิกมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นสมองส่วนที่ควบคุมด้านความสนใจ ความจำ ความฉลาด และการสร้างอารมณ์ที่ดี จากการฟังดนตรีดังกล่าว ยังช่วยให้ลูกเกิดการใช้สมองทุกส่วนพร้อมกันอีกด้วย
ผลจากการวิจัยพบว่า ดนตรีอาจส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้น
สมองของเด็กประกอบด้วยเซลล์ประสาทเป็นจุดๆ กำลังรอคอยการเชื่อมต่อกันเพื่อนำเข้าส่งต่อและบันทึกข้อมูลต่างๆ ทุกๆ ครั้งที่เด็กถูกกระตุ้นให้คิด จุดเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นหรือที่มีอยู่แล้วก็แข็งแรงขึ้น ถ้ามีจุดเชื่อมต่อโยงใยมาก เซลล์จะแข็งแรงและฉลาดยิ่งขึ้นแต่ถ้าไมได้รับข้อมูลเป็นเวลานานเซลล์ประสาทก็จะเหี่ยวเฉาตายไป
การศึกษาทารกอายุ 3 เดือน ซึ่งเรียนรู้ทักษะง่ายๆ ขณะฟังดนตรีคลาสสิกพบว่า เด็กๆ จะจะจำสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ได้นาน และเมื่อเปิดเพลงเดิมให้ฟังอีกครั้ง หลังจากนั้นไปอีก 7 วัน เด็กก็ยังจำเพลงนั้นได้อยู่
การศึกษาเด็กก่อนวัยเรียน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ฝึกเล่นเปียโน กลุ่มที่ฝึกใช้คอมพิวเตอร์ และกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆ พบว่าในระหว่างที่ทำการวิจัย มีกลุ่มเด็กที่เล่นเปียโนเพียงกลุ่มเดียว ที่มีความสามารถเข้าใจเหตุผลของความสัมพันธ์เชิงมิติของสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วเพิ่มขึ้น 37%
การศึกษากลุ่มเด็กอนุบาล พบว่า ความสามารถในการจำแนกเสียงสูงต่ำ สัมพันธ์กับทักษะการเรียนรู้ ด้านการอ่านหนังสือ
Fran Rauscher และ Gordon Shaw แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ ได้ทำการศึกษาผลจากการฟังเพลงโมสาร์ท พบว่าเพลงคลาสสิกมีอิทธิพลต่อการคิดวิเคราะห์เหตุผลเชิงความสัมพันธ์ในมิติของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ เขาทำการทดลองกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย 3 กลุ่ม กลุ่มแรกฟังเพลงโซนาต้าของโมสาร์ท กลุ่มที่สองฟังเพลงประเภทผ่อนคลาย กลุ่มที่สามไม่เปิดเสียงใดๆ ให้ฟังพบว่าหลังจากกบุ่มแรกที่ฟังเพลงโซนาต้าของโมสาร์ทไม่กี่นาที สามารถทำคะแนนสอบในวิชาทักษะด้านการหาเหตุผลด้านความสัมพันธ์เชิงมิติเพิ่มขึ้น 62% ซึ่งดีกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ปี พ.ศ. 2537 นักจิตวิทยาชื่อ Fran Raucher และนักฟิสิกส์ Gordon Shaw มหาวิทยาลัย University of California-Irvine วิจัยหาจุดต่อระหว่างดนตรี ทักษะในทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ กลุ่มแรกได้รับการฝึกให้ร้องเพลงทุกวัน กลุ่มสองได้รับการฝึกคีบอร์ดสัปดาห์ละครั้ง กลุ่มสามไม่ได้รับการฝึกดนตรีใดๆ แม้การให้เด็กอายุ 3 ขวบ เรียนดนตรีจนประสบความสำเร็จ จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไมได้ แต่มีผลผนวกดนตรีเข้ากับการเรียนได้เป็นอย่างดี หลังจาก 8 เดือน เด็กที่ได้รับการฝึกดนตรีมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้นถึง 46% มากกว่าเด็กกลุ่มควบคุมซึ่งพัฒนาเพียง 6% และเด็กที่พัฒนาความฉลาดจากการเล่นดนตรีได้อย่างน่าตื่นเต้นคือเด็กพิการ
งานวิจัยอีกชิ้นกล่าวว่า ช่วงเวลาที่เด็กจะพัฒนาความฉลาดทางดนตรีให้มากที่สุดคือทันทีที่เด็กเกิด เพราะสมองบางส่วนที่ไม่ได้ถูกใช้ในการพัฒนาด้านดนตรี อาจถูกเปลี่ยนไปใช้พัฒนาในด้านอื่นๆ ดังนั้นยิ่งเด็กได้เรียนรู้ดนตรีเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีความสามารถในการเรียนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการวิจัยว่าดนตรีแบบต่างๆ ส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กต่างกันดนตรีคลาสสิก มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาโรคได้ ขณะที่เพลงมาร์ชปลุกใจสามารถเพิ่มอาการ hyperactivity ให้เด็กบางคน ส่วนดนตรีร๊อคและดิสโก้ อาจเป็นการกระตุ้นเด็กมากเกินไป ควรหลีกเลี่ยงการเปิดดนตรีให้เด็กฟังตลอดเวลา เพราะความเงียบเป็นอีกส่วนที่สำคัญต่อการพัฒนาความสามารถในการแยกแยะเสียงของเด็ก เมื่ออยู่ในที่เงียบ เด็กจะเพ่งสมาธิไปยังการฟังได้ นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดนตรีหนักๆ เร่งเร้า กระตุ้นตลอดเวลา จะทำให้เด็กโวยวาย และทำให้ความสามารถในการฟังลดลง
สรุปแล้วดนตรีที่มีจังหวะและท่วงทำนองที่เหมาะสมจะมีผลทำให้สมองพัฒนาได้ถึงขีดสุด เสริมความฉลาดในหลายๆ ด้าน ช่วยเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ เพิ่มความสนใจในงานต่างๆ และพัฒนาการควบคุมสิ่งกระตุ้นและพัฒนาการเคลื่อนไหว
ความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับคณิตศาสตร์
France Rauscher และทีมงานยังพบว่าเด็กก่อนวัยเรียนที่เรียนสอนเปียโน สามารถทำข้อสอบเกี่ยวกับการวิเคราะห์เหตุผลในความสัมพันธ์เชิงมิติเพิ่มขึ้น 34% เพราะระบบประสาทที่ควบคุมการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์เป็นอันเดียวกับทักษะทางดนตรีก้เท่ากับได้พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ไปพร้อมๆ กันด้วย
สมองของทารกมีศักยภาพอันน่าอัศจรรย์ เด็กทารกสามารถจดจำเสียงเพลงเดิมๆ ที่แม่เคยร้องกล่อมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้เมื่อทารกลืมตาดูโลกและแม่ร้องเพลงนี้ให้ฟังอีก เด็กจะมีปฏิกิริยา 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ดูดนมแม่เร็วและถี่ขึ้น กับแบบที่ 2 คือ หยุดดูดชั่วขณะคล้ายกับกำลังหยุดฟังเสียงเพลงอยู่ และเสียงเพลงขับกล่อมจากแม่ที่แฝงความนุ่มนวลอ่อนโยนในน้ำเสียง ยังช่วยทำให้ทารกเกิดความสบายใจ รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
คุณค่าดนตรีพัฒนาสมองลูกน้อย
การเปิดเพลงคลาสสิกเบาๆ ให้ทารกฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลให้ทารกสามารถรับรู้เรื่องเสียงได้มากขึ้น และเมื่อออกจากครรภ์มารดามาสู่โลกภายนอก ทารกก็จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดีขึ้นและมีอารมณ์ความรู้สึกผ่อนคลานมากขึ้น
วัย 2-3 เดือนแรก ลูกชอบฟังเพลงช้าๆ เบาๆ ท่วงทำนองที่นุ่มนวล ถ้าหากพ่อแม่เปิดเพลงแบบนี้ให้ฟัง จะช่วยทำให้ลูกนอนหลับสบาย
วัย 4-5 เดือน ลูกเริ่มเข้าใจจังหวะมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเพลงจะสามารถขยับร่างกาย หากได้ฟังดนตรีในท่วงทำนองที่ชอบก็จะยิ้มและตบมือด้วยความคึกคัก
วัย 6 เดือน เด็กจะเริ่มมีพัฒนาการของการออกเสียงเป็นพยางค์ได้บ้างแล้ว ลูกน้อยจะพยายามส่งเสียงเลียนแบบเพลงที่เขาได้ยิน ดังนั้นพ่อแม่ควรหาเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ง่ายๆ มาเปิดให้ลูกฟัง เพื่อให้เขาหัดเลียนเสียงตาม
มีคำแนะนำสำหรับการใช้ดนตรีคลาสสิกมากระตุ้นสมองลูกดังนี้
ถ้าพ่อแม่เริ่มสังเกตเห็นว่าลูกเริ่มหงุดหงิด ให้เปิดเพลงจังหวะช้าๆ นุ่มนวล หรือร้องเพลงกล่อมลูก จะคลายความหงุดหงิดและเกิดความสบายใจ
สร้างดนตรีให้ลูกสนุกสนานด้วยการร้องเพลงที่มีเนื้อหาเลียนแบบเสียงร้องของสัตว์ต่างๆ หรือทำเสียงเคาะขวด เคาะแก้วพลาสติกซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการขยายการเรียนรู้เรื่องเสียงและเรื่องคำให้ลูกน้อยเพิ่มขึ้น
ใช้เสียงเพลงเป็นสื่อให้ลูกเรียนรู้กิจวัตรประจำวัน เช่น ร้องเพลงให้บ่อยครั้งจนกลายเป็นเพลงที่ใช้ประจำวัน เช่น “ซู่ซ่าๆ ได้เวลาอาบน้ำหรือเปิดเพลงที่ลูกเคยฟังเมื่อจะเตรียมนมให้ลูกกิน ทำให้ลูกรู้จักการรอคอย เพราะรู้ว่าอีกไม่นานก็จะได้อิ่มท้องสบายแล้ว”“ดนตรี” เรียนเมื่อไหร่ ? เรียนอย่างไร ?
พ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนดนตรีตามแฟชั่นหรือให้ลูกเรียนดนตรี เพราะลูกอยากเรียน ให้ลูกเรียนดนตรี เพราะต้องใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังว่าดนตรีมีคุณค่ากับชีวิตของลูกมากน้อยเพียงใดก่อนพาลูกไปเรียนดนตรีจึงควรทำความเข้าใจผลของดนตรีต่อเด็กให้มั่นใจเสียก่อน
“ลูก” สามารถสัมผัสกับดนตรีตั้งแต่อยู่ในครรภ์
โดยอาศัยการฟัง เด็กที่ได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมตั้งแต่ก่อนเกิดจะช่วยให้สมองได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ เด็กแรกเกิดจะเรียนดนตรีในลักษณะที่เป็นการสัมผัสประกอบเสียงในขณะที่เด็กกำลังฟังอยู่นั้นคุณพ่อคุณแม่อาจใช้การสัมผัสลูกตามจังหวะเพลง ทั้งเลือกเพลงให้เหมาะสมกับเด็ก เด็กเล็กๆ เรียนรู้ในเรื่องของเสียง และจังหวะได้
“ลูก” อายุ 3 ขวบเป็นวัยที่เริ่มเล่นเครื่องดนตรีได้
เพราะกล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรงแต่จะเรียนในลักษณะของการร้องหรือเต้นให้เข้ากับจังหวะหลักสูตรที่สอนสำหหรับเด็กเล็ก อาจใช้เครื่องเคาะเครื่องตีเข้ามาผสมการสอนเรื่องเสียงและจังหวะจะเป็นการผสมระหว่างการเรียนดนตรีกับการเล่นที่เป็นไปตามธรรมชาติ
ผู้ปกครองหลายท่านไม่เข้าใจก็จะคิดเสมอว่าลูกไม่เห็นได้เล่นเป็นเพลงเลย แล้วให้หยุดเรียนรอให้โตพอที่จะเล่นเปียโนได้ค่อยให้เรียนใหม่ จริงๆ แล้วเป็นการทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ หลังจากเด็กได้เรียนรู้ดนตรีขั้นพื้นฐาน อันได้แก่ การร้อง การเต้น ให้เข้ากับจังหวะได้ดีแล้วเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องพิจารณาผู้เรียนว่า สมควรจะได้เรียนดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่งเมื่อใด เช่น การเรียนเปียโน ส่วนมากจะให้เด็กเริ่มเรียนในช่วงอายุ 4 ปี อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาการด้านการเรียนรู้ดนตรี ความต้องการและความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ
ครูดนตรีมีส่วนทำให้ “ลูก” ชอบหรือไม่ชอบ
เพราะครูสามารถที่จะทำให้เด็กรู้สึกรักดนตรี หรือเกลียดดนตรีไปเลยก็ได้ การสอนไปวันหนึ่งๆ โดยไม่รู้ว่าสอนอะไร และจะสอนยังไงต่อไปนั้นเป็นการทำลายโอกาสของเด็ก ถ้าครูไม่มีความสามารถที่จะกระตุ้นให้เด็กแสดงความสามารถทางดนตรี
พ่อแม่ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ “ลูก”
เพราะสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งการเรียนดนตรีการที่พาลูกไปดู Concert หรือไปดูการแข่งขัน เปียโนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งให้กับลูก และทำให้ได้เห็นถึงความสามารถของเด็กในวัยเดียวกันว่า ทำไมถึงเล่นได้เก่งขนาดนั้น เขาซ้อมได้อย่างไรวันละหลายชั่วโมง นี่ก็คือการสอนให้ลูกรู้จักแบ่งเวลาเพราะการซ้อมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการเรียนดนตรี
ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นคงทำให้ผู้ปกครองเข้าใจดนตรีมากขึ้น รู้ว่าควรให้เด็กเริ่มเรียนรู้ดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียนดนตรีแบบไหนจึงจะเหมาะสม การที่เด็กเรียนดนตรีแล้วจะประสบความสำเร็จมาก ขึ้นอยู่กับคนรอบข้างทั้งพ่อแม่ คนในครอบครัว และครู
ช่วงวัยนี้เป็นช่วงวัยที่พ่อแม่จำเป็นต้องเลือกกิจกรรมเพื่อดูว่าลูกชอบหรือถนัดอะไร เพื่อที่จะได้ส่งเสริมให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบค่ะ …วันนี้พ่อแม่จัดสิ่งที่ดีให้กับลูกหรือยัง?


ที่มา http://www.elib-online.com/doctors50/child_music007.html


น.ส.สเสาวลักษณ์ พ่วงสมบูรณ์ 48/186/1 รหัส 484186128


พัฒนาสมองลูกในท้องด้วยดนตรี

ดนตรีมีความผูกพันกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่แรก เกิด เมื่อแม่ร้องเพลงกล่อมลูก ครั้นเติบโตขึ้นกิจกรรมต่างๆ เช่นการทำงาน การกีฬา พิธีกรรม ล้วนมีความสัมพันธ์กับดนตรีทั้งสิ้น กระทั่งสุดท้ายแห่งชีวิต ดนตรีก็ยังเข้ามามีบทบาท ดังนั้นดนตรีกับชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นและเอื้อ ประโยชน์ต่อกันค่ะดนตรีเพื่อพัฒนาสมอง ก็คือการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการทำให้สมองพัฒนาและทำงานอย่างเต็มศักยภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะสมองเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งชีวิต เมื่อพัฒนาสมองอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยความรู้และเข้าใจทั้งทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสุนทรียศาสตร์ ก็ย่อมจะทำให้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีชีวิตที่มีคุณภาพและมีชีวิตที่ดีขึ้นและเนื่องจากชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยกายและใจ ซึ่งส่วนประกอบทั้งสองต้องอยู่ในสภาพสมดุล นั่นคือสุขภาพกายต้องสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพใจต้องแจ่มใสสดชื่นแข็งแรง ชีวิตจึงจะมีความสุขและดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแต่ด้วยสภาวะแวดล้อมทางสังคม ทัศนคติที่มีต่อการเลี้ยงดูลูกในแนวเน้นให้ลูกเป็นคนเก่งโดยเฉพาะทางวิชาการ ไม่สำคัญเท่ากับการเป็นเด็กดีและมีความสุขค่ะ คิดแต่เพียงว่าวิชาการเท่านั้นจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ การมองโลกในแง่ลบ การแข่งขัน การแย่งชิง และความเห็นแก่ตัวเอง เพื่อให้อยู่ในโลกที่ซับซ้อนในยุคของการมุ่งเน้นแต่ความเจริญทางวัตถุ ความสำเร็จในชีวิตวัดได้จากจำนวนปริมาณและการตีค่าของวัตถุ ส่งผลให้เกิดมลพิษต่อสภาวะแวดล้อมรอบตัวในสังคม เกิดมลพิษต่อชีวิตมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีแต่ความเครียด และการแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินชีวิตตั้งแต่แรกเกิดเป็นไปในทางก่อ เกิดปัญหา ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์แต่นับเป็นเรื่องดีค่ะที่มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องสมองกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เข้าใจความลึกลับซับซ้อน ตลอดจนความสำคัญของสมอง ซึ่งทุกคนมีในขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกัน แต่จำนวนของเซลล์สมองอาจไม่เท่ากัน ทำให้ได้เข้าใจในลักษณะของสรีระภายใน และการทำหน้าที่ควบคุมทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างสมดุล อันนำไปสู่การมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาของโลกและสังคมโดยรวมจากการศึกษาทำให้เรารู้ว่า เซลล์สมองของมนุษย์เริ่มพัฒนาและเพิ่มจำนวน ตั้งแต่แรกปฏิสนธิจนกระทั่งก่อนคลอด ซึ่งมีจำนวนของเซลล์สมองหรือ Neuron ประมาณร้อยล้านล้านเซลล์ทีเดียวค่ะ โดยเซลล์สมองจะมี 3 ส่วนคือ dendrite ซึ่งเหมือนนิ้วมือยื่นออกไปเพื่อรับกระแสประสาท axon ส่วนของเซลล์ที่ทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทออกไปติดต่อเซลล์อื่นและ nucleus ของเซลล์สมอง เซลล์สมองของมนุษย์มีจำนวนใกล้เคียงกัน ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นจำนวนของเซลล์สมองจึงมีแต่จะลดจำนวนลง ถ้าเกิดการตายหรือการสูญเสียของเซลล์สมองขึ้นส่วนการพัฒนาคุณภาพของสมองนั้น ที่ดีที่สุดคือการเพิ่มจำนวนกิ่งก้านสาขาของ dendrite ให้มาก เนื่องจาก dendrite ทำให้เกิด Brain Connections ซึ่งการเชื่อมติดต่อกันของเซลล์สมองยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร คุณภาพของสมองจะดีขึ้นเท่านั้นค่ะ โดยเซลล์สมอง 1 ตัว สามารถเกิด Brain Connections ได้ถึง 25,000 จุด มนุษย์สามารถสร้าง dendrite ได้ตลอดชีวิต หากมีปัจจัยสำคัญต่างๆ ครบถ้วนสำหรับการพัฒนาสมอง ดังนั้นความรู้ใหม่ส่วนนี้จึงเป็นแนวทางที่สามารถจะพัฒนาคุณภาพทางสมองได้ โดยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมในทุกช่วงของชีวิตได้งานวิจัยเกี่ยวกับ Aecellerate Learning ค้นพบว่า ดนตรีที่มีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงจะช่วยกระตุ้นให้สมองของมนุษย์พัฒนาและทำงานได้ดี เนื่องจากทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของ dendrite ซึ่งเป็นส่วนของ Neuron ในการรับกระแสประสาท ยิ่งจำนวน dendrite มีมากเท่าใด การเกิด Brain Connections คือการเชื่อมโยงของเซลล์สมองต่างๆเป็นเครื่อข่าย (network) ก็จะก่อให้เกิดการทำงานที่สมบูรณ์ แข็งแรง และทรงพลานุภาพดนตรีที่เลือกสรรแล้วว่ามีคุณภาพทั้งเสียงร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียงซึ่งมีผลงานวิจัยและเสนอผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องใน มหาวิทยาลัย John Hopkins โดยมี Kenedy Kreger center ซึ่งเป็นศูนย์ทดลองวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องสมองและการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับดนตรี ซึ่งมีข้อสรุปของผลงานวิจัยโดยผู้เขียนนำเสนอตามลำดับช่วงชีวิตของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ทารกในครรภ์ (Prenatal) วัยทารก (Neonatal) จนถึงวัยเตาะแตะ (0-3) จากช่วงอายุ 4-8 ปี, ช่วงวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยชรา และการนำดนตรีเป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการ เรียนรู้สำหรับเด็กปกติ และเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษเป็นตอนๆ ไปตามลำดับหัวใจหลักก็คือคุณภาพของดนตรีที่เลือกสรรแล้ว จะกระตุ้นสมองของมนุษย์ในการหลั่งสารแห่งความสุข หรือ Endorphin เพิ่ม มากขึ้นค่ะ ทำให้การทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและอาหารอย่างเต็มที่ ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ เพิ่มสติปัญญาและก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนั้นดนตรียังสามารถช่วยให้สุขภาพของร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ขึ้นอีก ด้วยค่ะส่วนเรื่องดนตรีเพื่อพัฒนาสมองสำหรับทารกในครรภ์นั้น เมื่อเกิดการปฏิสนธิในครรภ์มารดา ระบบประสาทส่วนกลาง คือสมองและไขสันหลังจะเริ่มพัฒนาก่อนระบบอื่นๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ต่อจากนั้นอวัยวะและระบบการทำงานของร่างกายด้านอื่นๆ จึงเริ่มพัฒนาต่อไป ทารกในครรภ์มารดาเริ่มได้ยินเสียงแล้วเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน เสียงของการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของมารดา เช่น หัวใจ ปอด การเผาผลาญอาหารและลำไส้ เสียงเหล่านี้เปรียบเหมือนวงดนตรีวงใหญ่ที่บรรเลงดนตรีกึกก้องในครรภ์มารดา และเป็นบทเพลงบทแรกๆ ของชีวิตทารกที่ได้ยินค่ะมีการทดลองโดยนำดนตรี 2 ประเภทมาให้ทารกในครภ์มารดาฟัง โดยแนบแถบบันทึกเสียงไว้กับท้องของมารดา ดนตรีประเภทแรกเป็นดนตรีคลาสสิก (Classic) บรรเลงโดยวงออเคสตร้าทั้งวง มีจังหวะความเร็วประมาณ 90-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งมีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับอัตราการเต้นของหัวใจทารก และความดังของเสียงไม่เกิน 60 เดซิเบล แล้วสังเกตปฏิกิริยาของทารกจากเครื่องอัลตราซาวนด์ พบว่าทารกจะขยับแขนขาไปมามีจังหวะ พร้อมไปกับจังหวะเพลงและค่อยๆ สงบลงและดนตรีชนิดที่สองคือดนตรีประเภทฮาร์ดร็อก (Hardrock) ทำนองและความเร็วไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ความดังของเสียงเกิน 80 เดซิเบลขึ้นไป มีเสียงกลองตีรัวดังๆ พบว่าทารกจะขยับแขนขาอย่างไม่เป็นจังหวะ มีอาการดิ้นทุรนทุราย และไม่เกิดความสงบ ดังนั้น เสียงต่างๆ โดยเฉพาะดนตรีที่มีเสียงสูงต่ำ ดังเบา เร็วช้า เป็นต้น มีอิทธิพต่ออารมณ์ของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งลืมตาออกมาดูโลกในขณะเดียวกัน คุณแม่จะได้รับอิทธิพลของดนตรีที่ฟังด้วย การที่ได้ฟังดนตรีที่มีจังหวะความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของจังหวะการเต้น ของหัวใจ จะทำให้อารมณ์ของคุณแม่สงบเยือกเย็น ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ มีสาร Endorphin หลั่งในกระแสโลหิต ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วยค่ะ




น.ส.เสาวลักษณ์ พ่วงสมบูรณ์ 48/186/1 รหัส 484186128